สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
-ของกินหาง่าย ตั้งแต่เช้ายันดึก
-7-11 ร้านมินิมาร์ทเยอะดี เปิดตลอดเวลา
-เป็นเมืองที่คึกครื้นตอนกลางคืน
-เดินกินได้
-ห้างเยอะ
-มี food court, ร้านอาหารในห้างเยอะ (ยุโรปนี่ร้านอาหารในห้างคือแพงมาก)
-ห้างเปิดดึก (บางประเทศปิดตั้งแต่ 2ทุ่ม) และเปิดในวันหยุดราชการ วันอาทิตย์
-ในห้างมักมีกิจกรรมเสมอๆ
-มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เมืองใหญ่ในตปท. หลายแห่งไม่มีแม่น้ำสายใหญ่
-มีวัดสวยๆ มีสถานที่โบราณสวยๆอยู่เต็มพระนคร
-มีรถไฟ วินเทจ ที่สุดในโลก และยังใช้การได้ (อยากให้ขึ้นบัญชีอนุรักษ์มาก เมืองนอกรถไฟวินเทจ ค่านั่งแพงมาก แล้วต้องรอจอง เพราะนานๆจะเอาออกมาที)
-โรงแรมบริการดีกว่า โรงแรมในเมืองนอกเยอะ (เทียบดาวที่เท่ากัน)
-อาหารเช้าในโรงแรมของไทยเรา มักจะมีอาหารฝรั่งตลอด แต่โรงแรมฝรั่งไม่มีอาหารเอเชียเลย (ต้องระดับ 5ดาว หรือมีคนเอเชียมาพักบ่อยๆเยอะๆ)
-การแสดงรำไทย นาฎศิลป์ ที่หาดูได้ยากในตปท. (จริงๆต่างจังหวัดก็มี ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพ)
-คนไทยไหว้ ค่ะ วัฒนธรรมดีๆ ที่คนไทยทำตลอด
-7-11 ร้านมินิมาร์ทเยอะดี เปิดตลอดเวลา
-เป็นเมืองที่คึกครื้นตอนกลางคืน
-เดินกินได้
-ห้างเยอะ
-มี food court, ร้านอาหารในห้างเยอะ (ยุโรปนี่ร้านอาหารในห้างคือแพงมาก)
-ห้างเปิดดึก (บางประเทศปิดตั้งแต่ 2ทุ่ม) และเปิดในวันหยุดราชการ วันอาทิตย์
-ในห้างมักมีกิจกรรมเสมอๆ
-มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เมืองใหญ่ในตปท. หลายแห่งไม่มีแม่น้ำสายใหญ่
-มีวัดสวยๆ มีสถานที่โบราณสวยๆอยู่เต็มพระนคร
-มีรถไฟ วินเทจ ที่สุดในโลก และยังใช้การได้ (อยากให้ขึ้นบัญชีอนุรักษ์มาก เมืองนอกรถไฟวินเทจ ค่านั่งแพงมาก แล้วต้องรอจอง เพราะนานๆจะเอาออกมาที)
-โรงแรมบริการดีกว่า โรงแรมในเมืองนอกเยอะ (เทียบดาวที่เท่ากัน)
-อาหารเช้าในโรงแรมของไทยเรา มักจะมีอาหารฝรั่งตลอด แต่โรงแรมฝรั่งไม่มีอาหารเอเชียเลย (ต้องระดับ 5ดาว หรือมีคนเอเชียมาพักบ่อยๆเยอะๆ)
-การแสดงรำไทย นาฎศิลป์ ที่หาดูได้ยากในตปท. (จริงๆต่างจังหวัดก็มี ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพ)
-คนไทยไหว้ ค่ะ วัฒนธรรมดีๆ ที่คนไทยทำตลอด

ความคิดเห็นที่ 7
234 ปี กรุงเทพฯ ที่น่าชื่นใจของคนไทย
“วันจักรี” เป็นวันหยุดราชการเพื่อน้อมรำลึกวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325 นำความร่มเย็นเป็นสุข และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยตราบจนถึงวันนี้
นอกจากวันที่ 6 เมษายน จะเป็นวันรำลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรีดังได้กล่าวไว้แล้ว คนไทยจำนวนมากยังนับเนื่องให้เป็นวันสถาปนา “กรุงเทพมหานคร” ด้วยเช่นกัน
เนื่องเพราะพระองค์ท่านได้ตัดสินพระทัยที่จะย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีข้ามฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยามาอยู่ ณ ตำบลบางกอก ซึ่งอยู่ตรงข้าม เพื่อสถาปนาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ ในวันแรกที่ทรงขึ้นครองราชย์จากนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2325 อีก 2 วันถัดมาก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้ พระยาธรรมาธิกรณ์ และ พระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครแห่งใหม่โดยทันที
ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อเวลา 6 นาฬิกา 54 นาที ถือเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของมหานครแห่งนี้
จาก พ.ศ.2325 ถึง พ.ศ.2559 จะเป็นเวลา 234 ปี พอดิบพอดี และทาง กทม.ท่านก็แถลงว่าปีนี้เป็นปีที่ 234 ของการก่อตั้งกรุงเทพฯ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการประกอบพิธีทำนํ้าพระพุทธมนต์รัตนโกสินทร์ 234 ปี ดังที่เป็นข่าวเมื่อ 2-3 วันก่อน
ครับ! 234 ปีที่ผ่านไปมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างสลับกันไป อันเป็นปกติวิสัยที่เกิดขึ้นแก่ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
แต่โดยรวมๆแล้ว ราชอาณาจักรสยามซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรไทย หรือประเทศไทยในภายหลัง ก็วัฒนาสถาพรมาตามลำดับและอยู่รอดปลอดภัยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร และมีความเป็นปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับตัวกรุงเทพฯเองนั้นก็ค่อยๆเติบใหญ่จากตำบลเล็กๆ กลายเป็นเมืองใหญ่กลายเป็นมหานครใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับกรุงธนบุรีเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อ 14 ธันวาคม 2515
มีพื้นที่ทั้งหมด 1,568 ตารางกิโลเมตรกับเศษเล็กน้อย เป็นจังหวัดที่มีความใหญ่เป็นอันดับ 68 ของประเทศไทย และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 73 ของโลก แต่มีประชากร 5 ล้าน 6 แสนคน จึงหนาแน่นเป็นอันดับที่ 13 ของโลกเราในปัจจุบัน
จากที่มีเพียงบ้านเรือนธรรมดา ทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯได้กลายเป็นเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุด เป็นอันดับ 12 ของโลก
กลายเป็นเมืองที่มีผู้คนแวะมาเยือนเป็นอันดับที่ 10 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย จากรายงานของหลายสถาบันที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมทั้งนิตยสารทราเวล แอนด์เลเซอร์ ก็ได้จัดให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2551, 2553, 2554 และ 2555
มองจากมุมนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ที่ประเทศไทยเราได้สั่งสมศิลปวัฒนธรรม และความดีงามมาตลอด 234 ปี จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครๆก็อยากมาเที่ยว และนอกเหนือไปจากเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว รัฐบาลยังหวังว่าการมีงานวัฒนธรรมที่หลากหลาย จะทำให้กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าอยู่ และดึงดูดให้ชาวต่างประเทศที่เป็นแรงงานที่มีทักษะ มาพักอาศัยที่เมืองไทยมากขึ้นและเราก็จะใช้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้เป็นทุนในการพัฒนาประเทศต่อไป เรียกว่าเป็นการมองมุมแบบหลายต่อ ไม่ได้มองความสำเร็จเพียงแค่จุดใดจุดหนึ่ง
ครับ! ผมลองแลหลังกลับไป โดยไม่ต้องไปค้นอะไรที่ไหนมากนัก แค่เปิดอ่านจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ว่าด้วยเรื่อง กรุงเทพมหานคร ก็จะพบทั้งเรื่องน่าชื่นใจ และน่ากล่าวขวัญถึง ดังที่คัดลอกมาบางส่วนวันนี้
สรุปว่า 234 ปี กรุงเทพฯ เรายังเปลี่ยนแปลงมากมายถึงขนาดนี้ อีก 234 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดไหนหนอ...ยังไงๆ ก็ขอฝากลูกๆหลานไว้ด้วย ขอให้ช่วยกันทำให้ กทม. เปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่น่าชื่นใจมากขึ้นเรื่อยไป กรุงเทพฯจะได้เป็นเมืองสวรรค์อยู่คู่ประเทศไทยไปอีกพันปีหมื่นปี โดยมิต้องโยกย้ายไปที่ใดอีกเลย.
“วันจักรี” เป็นวันหยุดราชการเพื่อน้อมรำลึกวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325 นำความร่มเย็นเป็นสุข และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยตราบจนถึงวันนี้
นอกจากวันที่ 6 เมษายน จะเป็นวันรำลึกถึงการสถาปนาราชวงศ์จักรีดังได้กล่าวไว้แล้ว คนไทยจำนวนมากยังนับเนื่องให้เป็นวันสถาปนา “กรุงเทพมหานคร” ด้วยเช่นกัน
เนื่องเพราะพระองค์ท่านได้ตัดสินพระทัยที่จะย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีข้ามฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยามาอยู่ ณ ตำบลบางกอก ซึ่งอยู่ตรงข้าม เพื่อสถาปนาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ ในวันแรกที่ทรงขึ้นครองราชย์จากนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2325 อีก 2 วันถัดมาก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้ พระยาธรรมาธิกรณ์ และ พระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครแห่งใหม่โดยทันที
ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อเวลา 6 นาฬิกา 54 นาที ถือเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของมหานครแห่งนี้
จาก พ.ศ.2325 ถึง พ.ศ.2559 จะเป็นเวลา 234 ปี พอดิบพอดี และทาง กทม.ท่านก็แถลงว่าปีนี้เป็นปีที่ 234 ของการก่อตั้งกรุงเทพฯ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการประกอบพิธีทำนํ้าพระพุทธมนต์รัตนโกสินทร์ 234 ปี ดังที่เป็นข่าวเมื่อ 2-3 วันก่อน
ครับ! 234 ปีที่ผ่านไปมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างสลับกันไป อันเป็นปกติวิสัยที่เกิดขึ้นแก่ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
แต่โดยรวมๆแล้ว ราชอาณาจักรสยามซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรไทย หรือประเทศไทยในภายหลัง ก็วัฒนาสถาพรมาตามลำดับและอยู่รอดปลอดภัยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร และมีความเป็นปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับตัวกรุงเทพฯเองนั้นก็ค่อยๆเติบใหญ่จากตำบลเล็กๆ กลายเป็นเมืองใหญ่กลายเป็นมหานครใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับกรุงธนบุรีเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อ 14 ธันวาคม 2515
มีพื้นที่ทั้งหมด 1,568 ตารางกิโลเมตรกับเศษเล็กน้อย เป็นจังหวัดที่มีความใหญ่เป็นอันดับ 68 ของประเทศไทย และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 73 ของโลก แต่มีประชากร 5 ล้าน 6 แสนคน จึงหนาแน่นเป็นอันดับที่ 13 ของโลกเราในปัจจุบัน
จากที่มีเพียงบ้านเรือนธรรมดา ทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพฯได้กลายเป็นเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุด เป็นอันดับ 12 ของโลก
กลายเป็นเมืองที่มีผู้คนแวะมาเยือนเป็นอันดับที่ 10 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย จากรายงานของหลายสถาบันที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมทั้งนิตยสารทราเวล แอนด์เลเซอร์ ก็ได้จัดให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2551, 2553, 2554 และ 2555
มองจากมุมนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ที่ประเทศไทยเราได้สั่งสมศิลปวัฒนธรรม และความดีงามมาตลอด 234 ปี จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครๆก็อยากมาเที่ยว และนอกเหนือไปจากเรื่องการท่องเที่ยวแล้ว รัฐบาลยังหวังว่าการมีงานวัฒนธรรมที่หลากหลาย จะทำให้กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าอยู่ และดึงดูดให้ชาวต่างประเทศที่เป็นแรงงานที่มีทักษะ มาพักอาศัยที่เมืองไทยมากขึ้นและเราก็จะใช้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้เป็นทุนในการพัฒนาประเทศต่อไป เรียกว่าเป็นการมองมุมแบบหลายต่อ ไม่ได้มองความสำเร็จเพียงแค่จุดใดจุดหนึ่ง
ครับ! ผมลองแลหลังกลับไป โดยไม่ต้องไปค้นอะไรที่ไหนมากนัก แค่เปิดอ่านจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ว่าด้วยเรื่อง กรุงเทพมหานคร ก็จะพบทั้งเรื่องน่าชื่นใจ และน่ากล่าวขวัญถึง ดังที่คัดลอกมาบางส่วนวันนี้
สรุปว่า 234 ปี กรุงเทพฯ เรายังเปลี่ยนแปลงมากมายถึงขนาดนี้ อีก 234 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดไหนหนอ...ยังไงๆ ก็ขอฝากลูกๆหลานไว้ด้วย ขอให้ช่วยกันทำให้ กทม. เปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่น่าชื่นใจมากขึ้นเรื่อยไป กรุงเทพฯจะได้เป็นเมืองสวรรค์อยู่คู่ประเทศไทยไปอีกพันปีหมื่นปี โดยมิต้องโยกย้ายไปที่ใดอีกเลย.
แสดงความคิดเห็น
คนที่ไปกลับต่างประเทศบ่อยๆ เชิญมาแชร์กันหน่อยครับว่ากรุงเทพของเรานั้นมีข้อดี ชอบอะไรกันบ้าง
กระทู้บ่นนั้นก็มีเยอะ ถ้าเราเคยชินกับมัน เราก็อาจสร้างสังคมขี้บ่นได้โดยไม่รู้ตัว จึงอยากตั้งกระทู้ดีๆ ไว้สักอัน แต่อยากได้มุมมองจากคนเดินทางบ่อยมากหน่อย เพราะน่าจะมองถึงสิ่งที่ขัดกันได้ดี ขอบคุณครับ